แบบฝึกหัดตอบคำถามท้ายบท
1.
ท่านคิดว่าทำไมมนุษย์เราต้องมีกฎหมาย หากไม่มีจะเป็นอย่างไร
ตอบ
เนื่องจากมนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ไม่สามารถอยู่ได้โดยลำพังไปตลอดชีวิต จำเป็นต้องดำรงชีวิตโดยพึ่งพาอาศัยเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอยู่เสมอ
ดังนั้น ในการอยู่ร่วมกันจำเป็นต้องมีกฎระเบียบ ข้อตกลงต่างๆในการอยู่ร่วมกัน เพราะมนุษย์แต่ละคนต่างก็มีลักษณะนิสัย
ความคิด ลักษณะการดำรงชีวิตแตกต่างกันออกไป ซึ่งกฎระเบียบ
ข้อตกลงต่างๆเหล่านั้นมีขึ้นมาเพื่อให้มนุษย์มีระเบียบแบบแผนในการดำรงชีวิต
ไม่ทำสิ่งต่างๆตามใจตัวเอง ซึ่งอาจนำความเดือดร้อนมาสู่ผู้อื่นได้ กฎหมายจะช่วยควบคุมความประพฤติของคนในสังคมให้อยู่ในความเรียบร้อยและอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข
อาจกล่าวได้ว่า กฎหมายเกี่ยวข้องกับชีวิตของมนุษย์ตั้งแต่เกิดไปจนตาย แต่หากไม่มีกฎหมายมาคอยควบคุมความประพฤติของคนในสังคมอาจนำมาซึ่งความขัดแย้งได้
สังคมเต็มไปด้วยความวุ่นวาย และความเดือดร้อน
2.
ท่านคิดว่าสังคมปัจจุบันจะอยู่ได้หรือไม่หากไม่มีกฎหมายและจะเป็นอย่างไร
ตอบ
ดิฉันคิดว่าสังคมปัจจุบันจะไม่สามารถอยู่ได้หากไม่มีกฎหมาย
เพราะกฎหมายเป็นข้อกำหนด ระเบียบแบบแผนในการดำรงชีวิต กฎหมายจะช่วยควบคุมความประพฤติของคนในสังคมให้อยู่ในความเรียบร้อยและสงบสุข
เนื่องจากในปัจจุบันผู้คนมีจิตใจร้อน ไม่คิดอะไรให้รอบคอบ
มักแย่งชิงและแข่งขันกันอยู่เสมอ ความรุนแรงก็เกิดขึ้นทุกวัน
ดังข่าวที่ครูทำร้ายร่างกายนักเรียน พ่อ(เลี้ยง)หรือแม่(เลี้ยง)ทำร้ายร่างกายลูก
บางครั้งก็ถึงแก่ชีวิต มีการทะเลาะวิวาทกันเกิดขึ้นทุกวัน
ซึ่งหากไม่มีกฎหมายสังคมคงร้อนเป็นไฟ เพราะไม่มีกฎระเบียบ
หรือข้อกำหนดในการลงโทษผู้ที่ทำผิด หรือสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น
อาจมีโจรชุกชุม มีแต่คนที่ใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงผู้ที่อยู่เบื้องล่าง
ผู้คนก็จะเดือดร้อนและไม่มีความสงบสุข ผู้คนในสังคมก็ไม่มีความสุข
3.
ท่านมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายในประเด็นต่อไปนี้
ก.
ความหมาย
ตอบ
กฎหมาย คือ คำสั่งหรือข้อบังคับที่มนุษย์สร้างขึ้นโดยผ่านหลักการและเหตุผลและเป็นที่ยอมรับของคนในสังคม
ทุกคนจะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
ไม่เช่นนั้นจะถูกลงโทษตามที่กฎหมายได้กำหนดเอาไว้
ข.
ลักษณะหรือองค์ประกอบของกฎหมาย
ตอบ
ลักษณะหรือองค์ประกอบของกฎหมายมี 4 ประการ
คือ
1. เป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่เกิดจากรัฏฐาธิปไตยที่องค์กรหรือคณะบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดสามารถใช้อำนาจบัญญัติกฎหมายได้
2. มีลักษณะเป็นคำสั่งข้อบังคับ
มิใช่คำวิงวอน ประกาศ หรือแถลงการณ์
3. ใช้บังคับกับคนทุกคนในประเทศนั้นอย่างเสมอภาค
เพื่อให้ทุกคนเกรงกลัวและถือปฏิบัติเพื่อให้สังคมจะสงบสุขได้
4. มีสภาพบังคับ
ซึ่งบุคคลจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายโดยเฉพาะการกระทำและการงดเว้นการกระทำตามกฎหมายนั้นๆกำหนด
หากฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามอาจถูกลงโทษได้ตามที่กฎหมายกำหนด สภาพบังคับในทางอาญา
คือ โทษที่บุคคลผู้ที่กระทำผิดจะต้องได้รับโทษ แต่หากเป็นคดีเพ่ง
ผู้ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายจะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือค่าเสียหาย
ค. ที่มาของกฎหมาย
1. บทบัญญัติแห่งกฎหมาย
เป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษร ผู้มีอำนาจแห่งรัฐหรือผู้ปกครองประเทศเป็นผู้ออกกฎหมาย
2. จารีตประเพณี เป็นแบบอย่างที่ประชาชนนิยมปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นเวลานาน
ปฏิบัติโดยชอบตามกติกาหรือเกณฑ์หรือจรรยาบรรณที่กำหนด
หากนำไปบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษรแล้วก็มีสภาพเป็นกฎหมาย
3. ศาสนา
เป็นข้อห้ามและข้อปฏิบัติที่ดีของทุกๆศาสนาที่สอนให้คนเป็นคนดี
กฎหมายจึงได้บัญญัติตามหลักศาสนาและมีการลงโทษ
4. คำพิพากษาของศาลหรือหลักบรรทัดฐานของคำพิพากษา
คำพิพากษาของศาลชั้นสูงเป็นแนวทางที่ศาลชั้นต้นต้องนำไปปฏิบัติในการตัดสินคดีหลังๆ
5. ความเห็นของนักนิติศาสตร์
เป็นการแสดงความคิดเห็นของนักนิติศาสตร์ว่าสมควรออกกฎหมายอย่างนั้นหรือไม่
เพื่อแก้ไขกฎหมายให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนดังกล่าว
ง. ประเภทของกฎหมาย
ตอบ การแบ่งประเภทกฎหมายที่จะนำไปใช้นั้นมีรูปแบบและลักษณะที่แตกต่างกัน
การแบ่งประเภทกฎหมายที่ใช้ในประเทศไทย มีดังนี้
ก. กฎหมายภายใน มีดังนี้
1.
กฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรและไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
1.1
กฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรแบ่งโดยยึดเนื้อหาของกฎหมายที่ปรากฏเป็นหลักโดยผ่านกระบวนการบัญญัติกฎหมายเช่นรัฐธรรมนูญพระราชบัญญัติ
1.2
กฎหมายที่เป็นไม่เป็นลายลักษณ์อักษรเป็นกฎหมายที่มิได้มีการบัญญัติโดยผ่านกระบวนการนิติบัญญัติเช่นจารีตประเพณีหลักกฎหมายทั่วไป
2.
กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญาและกฎหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่ง
2.1 กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา
18 วรรคแรกบัญญัติโทษทางอาญาเช่นการประหารชีวิตจาคุกกักขังปรับหรือริบทรัพย์สิน
2.2
กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่งได้บัญญัติถึงสภาพบังคับลักษณะต่างๆกันไว้สำหรับลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนหรือไม่กระทำตามที่กฎหมายบัญญัติไว้
3.
กฎหมายสารบัญญัติและกฎหมายวิธีสบัญญัติ
3.1
กฎหมายสารบัญญัติแบ่งโดยคำนึงถึงบทบาทของกฎหมายเป็นหลัก
3.2
กฎหมายวิธีสบัญญัติกล่าวถึงวิธีการและขั้นตอนในการใช้กฎหมายบังคับ
4. กฎหมายมหาชนและกฎหมายเอกชน
4.1
กฎหมายมหาชนเป็นกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชนรัฐเป็น
ผู้มีอำนาจบังคับให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎหมายเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยแก่สังคมเป็น
เครื่องมือในการควบคุมสังคมคือกฎหมายมหาชนได้แก่กฎหมายรัฐธรรมนูญกำหนดระเบียบ
4.2 กฎหมายเอกชนเป็นกฎหมายที่มีความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนด้วยกันเช่นกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ข. กฎหมายภายนอก มีดังนี้
1. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง เป็นกฎหมายที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่อรัฐใน
การที่จะต้องปฏิบัติต่อกันและกัน เช่น กำหนดข้อบังคับการทำสงครามระหว่างกันและกัน กฎบัตรสหประชาชาติ
สนธิสัญญา ข้อตกลงการค้าโลก
2. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล เป็นข้อบังคับที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลใน
รัฐต่างรัฐๆ เช่น พระราชบัญญัติว่าด้วยการขัดแย้งแห่งกฎหมาย
3. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญา เป็นข้อบังคับที่ประเทศหนึ่งหรือรัฐหนึ่งตกลงยอมรับ
ให้ศาลส่วนอาญาของอีกรัฐหนึ่งมีอำนาจในการพิจาณาลงโทษอาญาแก่บุคคลที่ได้กระทำผิดนอก
ประเทศนั้นได้ เช่น สนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน กำหนดว่าการกระทำความผิดนอกประเทศ
4. ท่านมีความคิดเห็นอย่างไร ว่า
ทำไมทุกประเทศจำเป็นต้องมีกฎหมาย จงอธิบาย
ตอบ
เนื่องจากในการอยู่ร่วมกันในสังคมจำเป็นต้องมีกฎเกณฑ์ ข้อบังคับ
เพื่อให้คนในสังคมจะได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขและเป็นไปอย่างเรียบร้อย
และทุกประเทศต้องมีกฎหมายเป็นของตนเอง ไม่สามารถใช้ร่วมกันได้
เนื่องจากบริบทของสังคมทั้งด้านภาษา วัฒนธรรม การดำรงชีวิต ในแต่ละประเทศแตกต่างกันออกไป
หากแต่ละประเทศไม่มีกฎหมายบังคับหรือควบคุมความประพฤติของคนในสังคมอาจทำให้สังคมเหล่านั้นเกิดความวุ่นวายและนำไปสู่ความเดือดร้อนในสังคมได้
5. สภาพบังคับในทางกฎหมายท่านมีความเข้าใจอย่างไร
จงอธิบาย
ตอบ สภาพบังคับในทางกฎหมาย
คือ การปฏิบัติตามกฎหมายโดยเฉพาะการกระทำและการงดเว้นการกระทำตามกฎหมายนั้นๆ กำหนด
หากฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามอาจถูกลงโทษหรือไม่ก็ได้
6. สภาพบังคับกฎหมายในอาญาและทางแพ่ง
มีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
ตอบ สภาพบังคับกฎหมายในอาญาและทางแพ่งมีความแตกต่างกัน
คือ สภาพบังคับในกฎหมายแพ่งนั้น กล่าวคือ จะมุ่งหมายไปที่การเยียวยาให้แก่ผู้เสียหายเพื่อให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด
เช่น การชดใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือการบังคับให้กระทำการตามสัญญาที่ตกลงกันไว้ ถ้าหากมีการล่วงละเมิดกฎหมายแพ่ง
บุคคลผู้ล่วงละเมิดไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล อาจถูกกักขังจนกว่าจะปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลได้
ส่วนสภาพบังคับในกฎหมายอาญานั้น มีสภาพบังคับอีกประเภทหนึ่ง คือ
โทษทางอาญาซึ่งกฎหมายได้บัญญัติไว้สำหรับความผิด ซึ่งโทษดังกล่าว มีดังนี้ เช่น การจำคุกหรือการประหารชีวิต
ซึ่งมุ่งหมายเพื่อจะลงโทษผู้กระทำความผิดให้เข็ดหลาบ ซึ่งบางกรณีผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมายก็อาจต้องต้องถูกบังคับทั้งทางอาญาและทางแพ่งในคราวเดียวกันก็ได้
7. ระบบกฎหมายเป็นอย่างไร จงอธิบาย
ตอบ
ระบบกฎหมายที่ใช้อยู่ในประเทศต่างๆในโลกนี้มีอยู่ 2
ระบบ คือ
1.ระบบกฎหมายซีวิล
ลอว์ (Civil Law) คือระบบกฎหมายแบบลายลักษณ์อักษร
กำเนิดขึ้นในทวีปยุโรป ระบบระบบกฎหมายนี้เป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่มีความสำคัญมาก
คำพิพากษาของศาลไม่ใช่ที่มาของกฎหมายแต่เป็นบรรทัดฐานของการตีความกฎหมาย
การวินิจฉัยคดีผู้พิพากษาเป็นผู้ตัดสินชี้ขาด ในประเทศไทยก็ใช้ระบบกฎหมายซีวิล
ลอว์ ตัวอย่างเช่น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประมวลกฎหมายอาญา ฯลฯ
2.ระบบกฎหมายคอมมอน
ลอว์ (Common Law) คือระบบกฎหมายที่พัฒนามาจากจารีตประเพณี
ที่ไม่ได้เป็นลายลักษณ์อักษร และคำพิพากษา ซึ่งเป็นบรรทัดฐานของศาลสมัยเก่ามาใช้
จนเป็นระบบกฎหมายที่มีความสมบูรณ์ในตัวเอง จุดกำเนิดอยู่ที่ประเทศอังกฤษ การวินิจฉัยต้องอาศัยคณะลูกขุนเป็นผู้ตัดสินชี้ขาด
8.
ประเภทของกฎหมายมีหลักการแบ่งอย่างไรบ้าง มีกี่ประเภท
แต่ละประเภทประกอบด้วยอะไรบ้าง ยกตัวอย่างอธิบาย
ตอบ
แบ่งโดยแหล่งกำเนิด อาจแบ่งออกได้เป็นกฎหมายภายในและกฎหมายภายนอก ประเภทของกฎหมายแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
ก. กฎหมายภายใน มีดังนี้
1.
กฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรและไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
1.1
กฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรแบ่งโดยยึดเนื้อหาของกฎหมายที่ปรากฏเป็นหลักโดยผ่านกระบวนการบัญญัติกฎหมายเช่นรัฐธรรมนูญพระราชบัญญัติ
1.2
กฎหมายที่เป็นไม่เป็นลายลักษณ์อักษรเป็นกฎหมายที่มิได้มีการบัญญัติโดยผ่านกระบวนการนิติบัญญัติเช่นจารีตประเพณีหลักกฎหมายทั่วไป
2.
กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญาและกฎหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่ง
2.1 กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา
18 วรรคแรกบัญญัติโทษทางอาญาเช่นการประหารชีวิตจาคุกกักขังปรับหรือริบทรัพย์สิน
2.2
กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่งได้บัญญัติถึงสภาพบังคับลักษณะต่างๆกันไว้สำหรับลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนหรือไม่กระทำตามที่กฎหมายบัญญัติไว้
3.
กฎหมายสารบัญญัติและกฎหมายวิธีสบัญญัติ
3.1
กฎหมายสารบัญญัติแบ่งโดยคำนึงถึงบทบาทของกฎหมายเป็นหลัก
3.2
กฎหมายวิธีสบัญญัติกล่าวถึงวิธีการและขั้นตอนในการใช้กฎหมายบังคับ
4. กฎหมายมหาชนและกฎหมายเอกชน
4.1
กฎหมายมหาชนเป็นกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชนรัฐเป็น
ผู้มีอำนาจบังคับให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎหมายเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยแก่สังคมเป็น
เครื่องมือในการควบคุมสังคมคือกฎหมายมหาชนได้แก่กฎหมายรัฐธรรมนูญกำหนดระเบียบ
4.2 กฎหมายเอกชนเป็นกฎหมายที่มีความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนด้วยกันเช่นกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ข. กฎหมายภายนอก มีดังนี้
1. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง เป็นกฎหมายที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่อรัฐใน
การที่จะต้องปฏิบัติต่อกันและกัน เช่น กำหนดข้อบังคับการทำสงครามระหว่างกันและกัน กฎบัตรสหประชาชาติ
สนธิสัญญา ข้อตกลงการค้าโลก
2. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล เป็นข้อบังคับที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลใน
รัฐต่างรัฐๆ เช่น พระราชบัญญัติว่าด้วยการขัดแย้งแห่งกฎหมาย
3. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญา เป็นข้อบังคับที่ประเทศหนึ่งหรือรัฐหนึ่งตกลงยอมรับ
ให้ศาลส่วนอาญาของอีกรัฐหนึ่งมีอำนาจในการพิจาณาลงโทษอาญาแก่บุคคลที่ได้กระทำผิดนอก
ประเทศนั้นได้ เช่น สนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน กำหนดว่าการกระทำความผิดนอกประเทศ
9.
ท่านเข้าใจถึงคำว่าศักดิ์ของกฎหมายคืออะไร มีการแบ่งอย่างไร
ตอบ
เมื่อกล่าวถึง”ศักดิ์ของกฎหมาย” (Hierachy of law) อาจมีหลายคนอาจไม่เข้าใจว่าศักดิ์ของกฎหมายมีความหมายว่าอย่างไร
มีความสำคัญมากน้อยแค่ไหนต่อกฎหมาย โดยทั่วไปในทางวิชาการ
มีผู้ทรงคุณวุฒิได้ให้ความหมาย ศักดิ์ของกฎหมายไว้ว่า ลำดับชั้นของกฎหมาย
หรืออีกนัยหนึ่งคือ ลำดับความสูงต่ำของกฎหมายที่ไม่เท่าเทียมกัน ซึ่งความไม่เท่าเทียมกันของกฎหมายแต่ละฉบับนั้น
พิจารณาได้จากองค์กรที่มีอำนาจในการออกกฎหมาย
หมายความว่ากฎหมายแต่ละฉบับจะมีชั้นของกฎหมายในระดับนั้น ให้พิจารณาจากองค์กรที่ออกกฎหมายฉบับนั้น
ตัวอย่างเช่น รัฐธรรมนูญ
เป็นกฎหมายที่ออกโดยองค์กรนิติบัญญัติสูงสุดของประเทศ คือ รัฐสภา
แต่บางกรณีอาจมีองค์กรอื่นเป็นผู้จัดให้มีกฎหมายในระดับรัฐธรรมนูญได้ เช่น
คณะปฏิวัติออกรัฐธรรมนูญการปกครอง ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว
สามารถแบ่งได้ดังนี้
1.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
2. พระราชบัญญัติและประมวลกฎหมาย
3. พระราชกำหนด
4.
ประกาศพระบรมราชโองการให้ใช้บังคับ
5. พระราชกฤษฎีกา
6. กฎกระทรวง
7.
ข้อบัญญัติจังหวัด
8. เทศบัญญัติ
9.
ข้อบังคับองค์การบริหารส่วนตำบล
10. เหตุการณ์ เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน
2555 มีเหตุการณ์ของประชาชน ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า
และประชาชนได้ประกาศว่าจะมีการประชุมอย่างสงบ แต่ปรากฏว่า
รัฐบาลประกาศเป็นเขตพื้นที่ห้ามชุมนุม และขัดขว้างไม่ให้ประชาชนชุมนุมอย่างสงบ
ลงมือทำร้ายร่างกายประชาชน ในฐานะท่านเรียนวิชานี้ท่านจะอธิบายเหตุผลว่า
รัฐบาลกระทำผิดหรือไม่
ตอบ ดิฉันคิดว่าการกระทำที่รัฐบาลลงมือทำร้ายร่างกายประชาชนนั้นเป็นสิ่งที่ผิด
เพราะประชาชนก็มีสิทธิที่จะเรียกร้องสิทธิของตนเองโดยการชุมนุมซึ่งประชาชนก็ได้ประกาศแล้วว่าจะทำการประชุมกันอย่างสงบ
การชุมนุมครั้งนี้ก็เป็นการชุมนุมที่สงบเพื่อแสดงถึงความบริสุทธิ์ใจแต่เพียงต้องการเรียกร้องเพื่อสิทธิของตนเองแค่นั้นเอง
ซึ่งในกฎหมายรัฐธรรมนูญก็ได้ระบุไว้แล้วว่าประชาชนมีสิทธิ ดังนี้
1. สิทธิในครอบครัวและความเป็นอยู่ส่วนตัว
ชาวไทยทุกคนย่อมได้รับความคุ้มครอง เกียรติยศ ชื่อเสียง และความเป็นอยู่ส่วนตัว
2. สิทธิอนุรักษ์ฟื้นฟูจารีตประเพณี
บุคคลในท้องถิ่นและชุมชนต้องช่วยกันอนุรักษ์ฟื้นฟูจารีตประเพณี วัฒนธรรมอันดีงาม
ภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อรักษาไว้ให้คงอยู่ตลอดไป
3. สิทธิในทรัพย์สิน บุคคลจะได้รับการคุ้มครองสิทธิในการครอบครองทรัพย์สินของตนและการสืบทอดมรดก
4. สิทธิในการรับการศึกษาอบรม
บุคคลย่อมมีความเสมอภาคในการเข้ารับการศึกษาขึ้นพื้นฐาน 12
ปี อย่างมีคุณภาพและทั่วถึง โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
5. สิทธิในการรับบริการทางด้านสาธารณสุขอย่างเสมอภาคและได้มาตรฐาน
สำหรับผู้ยากไร้จะได้รับสิทธิในการรักษาพยาบาลจากสถานบริการสาธารณสุขของรัฐ
โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
6. สิทธิที่จะได้รับการคุ้มครองโดยรัฐ เด็กเยาวชน สตรี
และบุคคลในสังคมที่ได้รับการปฏิบัติอย่างรุนแรงและไม่เป็นธรรมจะได้รับการ
คุ้มครองโดยรัฐ
7. สิทธิที่จะได้รับการช่วยเหลือจากรัฐ เช่น บุคคลที่มีอายุเกินหกสิบปี
และรายได้ไม่พอต่อการยังชีพ รัฐจะให้ความช่วยเหลือ เป็นต้น
8. สิทธิที่จะได้สิ่งอำนวยความสะดวกอันเป็นสาธารณะ
โดยรัฐจะให้ความช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกอันเป็นสาธารณะแก่บุคคลในสังคม
9. สิทธิของบุคคลที่จะมีส่วนร่วมกับรัฐและชุมชน
ในการบำรุงรักษาและการได้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ
10.
สิทธิที่จะได้รับทราบข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานของรัฐ
รัฐวิสาหกิจหรือราชการส่วนท้องถิ่นอย่างเปิดเผย เว้นแต่การเปิดเผยข้อมูลนั้นจะมีผลต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของ
ประชาชนส่วนรวม หรือเป็นส่วนได้ส่วนเสียของบุคคลซึ่งมีสิทธิได้รับความคุ้มครอง
11.
สิทธิเสนอเรื่องราวร้องทุกข์โดยได้รับแจ้งผลการพิจารณาภายในเวลาอันควรตามบทบัญญัติของกฎหมาย
12.
สิทธิที่บุคคลสามารถฟ้องร้องหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ
ราชการส่วนท้องถิ่น
หรือองค์กรของรัฐที่เป็นนิติบุคคลให้รับผิดชอบการกระทำหรือละเว้นการกระทำ
ตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ของรัฐภายในหน่วยงานนั้น
11. ท่านมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ
คำว่า กฎหมายการศึกษาอย่างไร จงอธิบาย
ตอบ
กฎหมายการศึกษาคือ บทบัญญัติตามกฎหมายรัฐธรรมนูญได้กำหนดให้มีกฎหมายการศึกษา
ขึ้นที่จะเชื่อมโยงกับกฎหมายรัฐธรรมนูญว่าด้วยการศึกษาคือจะเป็นกฎหรือคำสั่งหรือข้อบังคับ
ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาที่สถาบันหรือหน่วยงานผู้มีอำนาจได้ตราขึ้นบังคับกฎหมายเพื่อให้
บุคคลประพฤติปฏิบัติตามไปสู่การพัฒนา
คนและสังคมสู่ความเจริญงอกงามธำรงไว้ซึ่งอิสรภาพ เสรีภาพของบุคคลและประเทศชาติ
12.
ในฐานะที่นักศึกษาจะต้องเรียนวิชานี้ ถ้าเราไม่ศึกษากฎหมายท่านคิดว่า
เมื่อท่านไปประกอบอาชีพครูจะมีผลกระทบต่อท่านอย่างไรบ้าง
ตอบ ในฐานที่ดิฉันต้องเรียนวิชากฎหมายและการประกันคุณภาพการศึกษานี้
ดิฉันคิดว่าเป็นวิชาที่จำเป็นต้องเรียนและมีประโยชน์เป็นอย่างมากสำหรับนักศึกษาครู
เพราะหากไม่มีการเรียนวิชานี้อาจทำให้นักศึกษาครูไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายทางการศึกษา
อาจทำให้การปฏิบัติหน้าที่ไม่เป็นระบบและเกิดความผิดพลาดได้ เราจะไม่ทราบถึงระเบียบ
ข้อปฏิบัติของทางราชการ และสิ่งที่ครูต้องปฏิบัติตามความคาดหวังของสังคมในฐานะที่เป็นผู้ที่ทำหน้าที่ในการอบรมสั่งสอนจำเป็นต้องประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีต่อศิษย์
และสิ่งสำคัญอีกอย่าง บางครั้งเราอาจกระทำการใดๆลงไป
ที่ไม่เหมาะสมที่ส่งผลกระทบกับบุคคลอื่น
อาจก่อความเสียหายในหลายๆทางอาจส่งผลถึงภาพลักษณ์ที่ไม่ดีของข้าราชการครู ดังนั้นนักศึกษาครูทุกคนจำเป็นต้องเรียนวิชากฎหมายและการประกันคุณภาพการศึกษาเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินงานของบุคคลากรทางการศึกษาและจะได้ปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้อง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น